
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทการสบฟัน (Occlusion) ที่แตกต่างกัน รวมถึงการตระหนักถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาทางทันตกรรมที่ประสบความสำเร็จ บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมโดยสังเขปเกี่ยวกับการสบฟันประเภทต่างๆ ตาม Angle’s Classification และพฤติกรรมเสี่ยง (Bad Habits) ที่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของการสบฟัน
1. การจำแนกประเภทการสบฟัน (Angle’s Classification of Malocclusion)
การจำแนกประเภทการสบฟันที่ผิดปกติ (Malocclusion) ตาม Edward Angle ยังคงเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยหลักการจำแนกจะพิจารณาจากตำแหน่งสัมพัทธ์ของฟันกรามซี่แรกบน (Maxillary First Molar) และฟันกรามซี่แรกล่าง (Mandibular First Molar)

1.1 Class I Malocclusion (Neutroclusion)
- ลักษณะทางคลินิก: ถือเป็นการสบฟันที่สัมพันธ์กันดีตามปกติ (Normal Occlusion)
- ความสัมพันธ์ของฟันกราม: Cusp ด้านบักคัลและเมซิอัล (Mesiobuccal Cusp) ของฟันกรามซี่แรกบนจะสบลงบนร่องบักคัล (Buccal Groove) ของฟันกรามซี่แรกที่ล่าง
- ความผิดปกติ: ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของฟันกรามจะปกติ แต่ยังคงพบความผิดปกติของฟันเดี่ยว (Individual Tooth Malpositions) เช่น ฟันซ้อนเก (Crowding), ฟันห่าง (Spacing), หรือการสบฟันที่ลึก (Deep Bite) หรือตื้น (Open Bite) ได้

1.2 Class II Malocclusion (Distoclusion)
- ลักษณะทางคลินิก: ฟันกรามล่างอยู่ในตำแหน่งด้านหลัง (Distal) เมื่อเทียบกับฟันกรามบน
- ความสัมพันธ์ของฟันกราม: ร่องบักคัลของฟันกรามซี่แรกที่ล่างอยู่ด้านหลังต่อ Cusp ด้านเมซิโอบักคัลของฟันกรามซี่แรกบน
- การแบ่งย่อย (Subdivisions):
- Division 1: ฟันหน้าบนยื่นไปด้านหน้า (Protrusion) มากกว่าปกติ (Increased Overjet) มักสัมพันธ์กับภาวะปากอ้าหายใจ (Mouth Breathing) และความผิดปกติของลิ้น
- Division 2: ฟันหน้าบนส่วนกลาง (Central Incisors) เอียงไปด้านหลัง (Retroclined) และฟันหน้าบนซี่ข้าง (Lateral Incisors) อาจจะซ้อนทับหรือเอียงไปด้านหน้า มักสัมพันธ์กับการสบฟันที่ลึกมาก (Severe Deep Bite)

1.3 Class III Malocclusion (Mesioclusion)
- ลักษณะทางคลินิก: ฟันกรามล่างอยู่ในตำแหน่งด้านหน้า (Mesial) เมื่อเทียบกับฟันกรามบน
- ความสัมพันธ์ของฟันกราม: ร่องบักคัลของฟันกรามซี่แรกที่ล่างอยู่ด้านหน้าต่อ Cusp ด้านเมซิโอบักคัลของฟันกรามซี่แรกบน
- ผลที่ตามมา: มักนำไปสู่การสบฟันแบบไขว้ด้านหน้า (Anterior Crossbite) หรือ Underbite

2. พฤติกรรมเสี่ยง (Bad Habits) ที่นำไปสู่ Malocclusion
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็ก สามารถก่อให้เกิดแรงกดดันต่อโครงสร้างกระดูกและฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสบฟันที่ผิดปกติ
2.1 การดูดนิ้ว (Thumb Sucking / Finger Sucking)
- ความเสี่ยง: หากยังดูดนิ้วหลังอายุ 4 ปี
- ผลกระทบ: แรงกดจากนิ้วจะดันฟันหน้าบนไปด้านหน้า และดันฟันหน้าล่างไปด้านหลัง ส่งผลให้เกิด Open Bite ด้านหน้า (Anterior Open Bite) และ/หรือ Class II Division 1 Malocclusion (ฟันหน้ายื่น)
2.2 การหายใจทางปาก (Mouth Breathing)
- ความเสี่ยง: มักเกิดจากภาวะต่อมอะดีนอยด์/ทอนซิลโต หรือภูมิแพ้เรื้อรัง
- ผลกระทบ:
- ลิ้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลง ทำให้แรงกดดันจากลิ้นต่อเพดานปากลดลง ส่งผลให้เกิด เพดานปากแคบ (Narrow Palate) หรือ Posterior Crossbite (สบฟันไขว้ด้านหลัง)
- ใบหน้าส่วนกลางถูกยืดออก ทำให้เกิดลักษณะใบหน้าที่ยาว (Long Face Syndrome) และมักนำไปสู่ Class II Division 1 Malocclusion
2.3 การดันลิ้น (Tongue Thrusting)
- ความเสี่ยง: การวางลิ้นที่ผิดปกติในขณะกลืนหรือพูด
- ผลกระทบ: ลิ้นที่ดันฟันหน้าซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่กลืน (เฉลี่ย 2,000 ครั้ง/วัน) จะทำให้เกิด Anterior Open Bite หรือ Overjet ที่เพิ่มขึ้น
2.4 การกัดริมฝีปาก (Lip Biting)
- ความเสี่ยง: การกัดหรือดูดริมฝีปากล่าง (Lower Lip Sucking/Biting)
- ผลกระทบ: ริมฝีปากล่างที่วางตัวอยู่ด้านหลังฟันหน้าบนจะกลายเป็นแรงที่ดันฟันหน้าบนไปด้านหน้า (Protrusion) ทำให้เกิด Overjet ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ฟันหน้าล่างอาจเอียงไปด้านหลัง (Retroclined)
2.5 การใช้จุกนมหลอก/ขวดนม (Pacifier/Bottle Use)
- ความเสี่ยง: หากใช้จุกนมหลอกหรือขวดนมเป็นระยะเวลานานกว่าช่วงวัยหัดเดิน (Toddlerhood)
- ผลกระทบ: มีความเชื่อมโยงกับการเกิด Anterior Open Bite และ Posterior Crossbite คล้ายกับการดูดนิ้ว

สรุป
การวินิจฉัยความผิดปกติของการสบฟันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการจำแนกตาม Angle’s Classification เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซักประวัติอย่างละเอียดเพื่อค้นหาพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุรากฐานของปัญหา การให้คำแนะนำผู้ป่วยและการแก้ไขพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้ความผิดปกติของการสบฟันทวีความรุนแรงขึ้น
หลังจากที่เราได้ทบทวนพฤติกรรมเสี่ยง (Bad Habits) ต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการสบฟัน (Malocclusion) เช่น การดูดนิ้ว การหายใจทางปาก และการดันลิ้นแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อไปคือการพิจารณาเครื่องมือที่ใช้ในการแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้
เครื่องมือที่กล่าวถึงนี้คือเครื่องมือ EF ย่อมาจาก Educational Fonctionnelle หรือ Functional Education ซึ่งมักถูกเรียกโดยย่อว่า เครื่องมือ EF (EF Line) โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการฝึกกล้ามเนื้อรอบช่องปากและลิ้นให้ทำงานอย่างถูกต้อง เพื่อขจัดสาเหตุรากฐานของความผิดปกติของการสบฟัน
หลักการทำงานของเครื่องมือ EF Line

เครื่องมือ EF มีรูปแบบสำเร็จรูปและมีขนาดที่หลากหลาย เครื่องมือนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ 3 ส่วนหลักในการแก้ไขพฤติกรรมของผู้ป่วยในระยะฟันผสม (Mixed Dentition)
| กลไกการทำงาน | เป้าหมายการแก้ไข | ความผิดปกติที่เกี่ยวข้อง |
| Tongue Retainer/Guard | ควบคุมตำแหน่งของลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม (Palatal Spot) ป้องกันการดันฟันหน้า | การดันลิ้น (Tongue Thrusting) |
| Lip Bumper/Shield | ช่วยยืด (Stretch) กล้ามเนื้อริมฝีปากบนและกระตุ้นกล้ามเนื้อริมฝีปากล่างให้แข็งแรงขึ้น และช่วยสร้างริมฝีปากให้ปิดสนิท (Lip Seal) | ภาวะปากอ้าหายใจ (Mouth Breathing) และการกัด/ดูดริมฝีปากล่าง |
| Arch Form | ให้แรงกระตุ้นอย่างอ่อนโยนต่อกระดูกขากรรไกร เพื่อขยายรูปโค้งของฟันให้กว้างขึ้น | การสบฟันไขว้ด้านหลัง (Posterior Crossbite) ที่เกิดจากเพดานปากแคบ |
แหล่งอ้างอิง: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK560645/
*หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือคอร์สเรียนสามารถติดต่อสอบถามผู้แทนขายได้เลยค่ะ*
